ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ค้นหา

 
การค้นหาขั้นสูง

866 กระทู้ ใน 377 หัวข้อ- โดย 1020 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: ohm555
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เทคนิคพิชิต IELTS ด้วยตนเอง - โดยคุณนิดหน่อย  (อ่าน 382390 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jack the Ripper
BAND 7.0
****

น้ำใจ: +17/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 51


« เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2009, 11:01:49 AM »

สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเวบบอร์ด ผู้สนใจในการสอบ IELTS แห่งนี้ นิดหน่อย เชื่อว่า ทุกคนที่เข้ามาที่นี่มีเป้าหมายเหมือน ๆ กัน คือ ต้องการสอบให้ได้ คะแนนดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องไม่ต่ำกว่าที่สถาบันกำหนด
นิดหน่อยไม่ใช่ ผู้ชำนาญการ IELTS เป็นเพียงคนที่เข้ามาหาข้อมูลการเตรียมสอบที่เวบบอร์ด นี้ จนเวลาผ่านไปวิทยายุทธเริ่มกล้าแข็ง เพราะสั่งสมมาจากการสอบหลาย ครั้ง (ไม่อยากบอกเลยว่าสอบ 5 ครั้ง...อายจัง) จึงขอเล่าประสบการณ์การ เตรียมสอบของตัวเองดูบ้าง  ผู้ที่กำลังเตรียมสอบอยู่จะ ได้ค้นหาข้อมูลได้ง่าย

นิดหน่อย อยู่ต่างจังหวัดลางานไปเรียนนานๆไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจที่เตรียมตัวสอบเอง เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้จึงเป็นประสบการณ์การฝึกด้วยตนเอง ขอให้ท่าน ผู้อ่านพิจารณาปรับใช้ตามความเหมาะสมนะคะ เมื่อตัดสินใจจะฝึกเอง นิดหน่อยก็ไปศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ ช้อปหมดไปหลาย ตังค์ ก็ตอนนั้นยังไม่รู้จักเวบจีน เวบรัสเซียนี่คะ หนังสือที่ใช้มีดังนี้ ค่ะ

Focus on Academic Skills for IELTS (Longman)
Insight into IELTS Extra (Cambridge)
IELTS Foundation : Study skills (McMillan)
IELTS 1-7 (Cambridge)
IELTS to Success (Wiley)
404 Essential Tests for IELTS
หนังสือ Speaking จาก เมืองจีน : อุตส่าห์ซื้อกะเค้าด้วย แต่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าไร อ่านแค่ ผ่าน ๆ ไม่ถึงกับจำบทสนทนาไปใช้ตอนสอบได้หรอกค่ะ ที่ได้ใช้จริง ๆ กลับเป็น สคริปต์ที่ทำขึ้นมาเองมากกว่า

Focus on Academic Skills for IELTS (Longman) และ Insight into IELTS Extra (Cambridge) สอง เล่มนี้ให้พื้นฐานความรู้ที่ดีสำหรับคนที่ไม่เคยสอบมาก่อน เนื้อหาเน้นการ เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการทำคะแนนส่วนต่าง ๆ
ส่วนเล่มอื่น ๆ ก็มีบอกเทคนิคต่าง ๆ ไว้เหมือนกัน แต่นิดหน่อยว่าเหมาะกับการใช้ฝึกทำข้อสอบมากกว่า
เวบไซต์แนะนำ
http://dictionary.cambridge.org/ ดิคชันนารีออนไลน์
http://www.writefix.com/ http://owl.english.purdue.edu/handouts/grammar/index.html ฝึก writing
http://www.aippg.com/ielts/ ชุมชนคนสอบ IELTS ของต่างชาติ
http://www.ielts.in.th/Forum/  ชุมชนคนสอบ IELTS ในเมืองไทย
http://www.essaydepot.com/ เก็บเกี่ยวไอเดียไว้เขียน Essay
http://www.scottsenglish.com/ielts/pages/home.asp รวมเทคนิคดี ๆ ไว้เพียบ ไม่ฟรีนะ แอบผิดหวังนิดนึงตรงที่ Writing ไม่ได้ส่งตรวจกับอาจารย์โดยตรง ได้แค่ เปรียบเทียบกับ Sample Essay ส่วน Speaking ก็พูดกับคอม แล้วก็เปรียบเทียบ กับ Sample นิดหน่อยลงเรียนไป 3 เดือน คิดว่า ทางเวบจะอัพเดทแบบฝึกหัดให้ ใหม่ทุกเดือน แต่ปรากฏว่า ก็ยังเป็นแบบฝึกหัดชุดเดิมที่ทำไปตั้งแต่เดือน แรก รู้งี้ลงเรียนเพื่อไปเก็บเทคนิคแค่เดือนเดียวดีกว่า

วิธีฝึก IELTS

Practice makes perfect ประโยคนี้เป็นจริงเสมอ เราต้องฝึกฝน ถึงจะไปติวก็เถอะ ต้องมาฝึกต่อที่บ้านอยู่ดีนะคะ

ขั้นที่ 1 วิเคราะห์ตัวเอง

ก่อน ฝึกควรทำการประเมินตนเองก่อน โดยเลือกหนังสือที่มีอยู่เล่มไหนก็ได้ค่ะ แล้ว จับเวลาให้เหมือนการสอบจริง เสร็จแล้วเปิดดูเฉลย ก็จะรู้ว่าต้องพัฒนาในส่วน ไหนบ้าง ถ้าผลออกมา “อ่อนไปซะทุกพาร์ท” เหมือนอย่างนิดหน่อยล่ะก็ไม่ต้อง ตกใจ Practice makes perfect ท่องเอาไว้นะคะ
สอบครั้งแรกเมื่อเดือน พฤษภาคม 2550 ได้ Overall 6 ก็ดีใจ คิดว่าเป้า หมาย Overall 6.5, Speaking 7 คงอยู่ไม่ไกลเกินฝัน แต่แล้ว...ก็ต้องกลับ มาทบทวนตัวเอง เพราะว่าการสอบ 3 ครั้งในปี 2550 ไม่เป็นอย่างที่คิด คะแนน ออกมา Overall 6, Speaking 6 ทั้งสามครั้ง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ??
คิดทบทวนอยู่หลายตลบ สาเหตุของความล้มเหลวอยู่ที่ “ตัวเอง” ทั้งนั้น
1. มั่น ใจในตัวเองมากเกินไป คิดว่าแค่ 0.5 ทำไมจะทำไม่ได้ พอใกล้ถึงวันสอบได้รู้ ตัวว่าอันนี้ก็ยังไม่ได้ทบทวน อันนั้นก็ยังไม่ได้อ่าน หนังสือมีตั้งหลาย เล่มแต่ไม่รู้จะอ่านเล่มไหนดี
2. ไม่แบ่งเวลาอ่านหนังสือให้ดี และมักมา เร่งในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบ แต่ก็มักให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ก็เรา ต้องทำงานประจำนี่นา แค่งานก็เหนื่อยแล้ว บางวันก็ขี้เกียจ หลับไปพร้อมกับ หนังสือจนถึงเช้า
3. มัวแต่ไปเน้นพาร์ทที่คะแนนไม่ดี โดยที่ละเลยพาร์ ทที่ตัวเองทำได้ดีในการสอบครั้งที่แล้ว ทำให้คะแนนในพาร์ทที่เราใส่ใจเพิ่ม สูงขึ้น แต่พาร์ทที่ถูกละเลยก็กลับต่ำลง Overall ก็เลยไม่เพิ่ม ตัวอย่างที่ เห็นได้ชัด คือ การสอบครั้งที่ 4 เมื่อเดือนสิงหาคม 2551 เน้นการ ฝึก Speaking อย่างมาก แต่กลับไม่เน้นการฝึกอีกสามส่วนที่เหลือ เพราะคิด ว่า 3 ครั้งที่ผ่านมาทำได้ค่อนข้างดีแล้ว ผลก็คือ Speaking 7 แต่คะแนนพาร์ท อื่น ๆ ต่ำลง ก็เลยได้ Overall 6 เท่าเดิม

ขั้นที่ 2 ฝึกฝน

หลังจากที่วิเคราะห์ตัวเองแล้ว ก็เลยกลับตัวกลับใจฮึดสู้อีกครั้ง...
- วางแผนการอ่านหนังสือใหม่ เลือกเวลาอ่านที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด คือตอนเย็นจนถึงเที่ยงคืน
- ใช้ หนังสือเดิมที่มีอยู่ในการฝึก แต่วางแผนการอ่านโดย เลือก Insight into IELTS extra และFocus on Academic Skills เป็นเล่ม แรก ๆ เพื่อทบทวนทักษะพื้นฐานทั้งหมด
- เมื่อทบทวนพื้นฐานแล้ว ใช้ หนังสือเล่มอื่น ๆ ที่มีอยู่ หัดทำข้อสอบแบบจับเวลา และประเมินผลท้าย เล่ม วิเคราะห์ผลการทำแบบฝึกหัดทุกครั้งที่ทำเสร็จ จะได้รู้จุดที่ตัวเองมัก ทำผิดบ่อย ๆ
 
Listening

เทคนิคการฝึก Listening
โดยส่วนมากมักจะ ฟังไม่ทันเวลาที่เป็นบทสนทนา เพราะบทสนทนาจะลื่นไหลไปเรื่อย ๆ ทำให้เราจับ จุดไม่ทัน ให้ฝึกฟังจากหนัง ปิด sub title ไว้ หรือ รออัดช่วงข่าว ทาง 105.5 ( ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ต้นชั่วโมงจะมีข่าวจาก ของ cnn BBC และ radio Australia ) ทำให้เรามีโอกาสได้ฝึกฟังหลาย สำเนียง เพราะเวลาสอบจะมีคนจากหลายสำเนียงมาก ๆ อัดข่าวให้ต่อเนื่องกันไป เลย แล้วรอเปิดฟังทีเดียว ให้ต่อเนื่องกันไป นอกจากนั้น ถ้าที่บ้านมีพวกเทป บทเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ต้องสนใจว่ามันง่ายหรือยากเกินไป ให้เอากลับมา ฟัง แล้วลองจดคำที่เราคิดว่าสำคัญในบทสนทนานั้น เป็นการฝึกจับใจความสำคัญ ได้ดีเลยค่ะ

ปัญหาที่พบบ่อยของการสอบ Listening ก็คือ

1. ‘Get Lost’ เนื่องจากบทสนทนาจะพูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบจำนวนข้อที่กำหนดไว้ หากเราฟังจับใจความไม่ทันก็จะทำให้พลาดเสียคะแนนไป
วิธีแก้ ก็คือ
- ทำสมาธิ เทคนิคการทำสมาธินี้ ได้ผลจริง ๆ ค่ะ เนื่อง จาก Listening เป็นส่วนที่ต้องใช้สมาธิในการฟังอย่างมาก แต่กลับเป็นการสอบใน ช่วงแรกที่เรายังตื่นเต้นอยู่ เพราะเพิ่งจะเข้าไปในห้องสอบใหม่ ๆ (ถึงนิด หน่อยจะสอบมาหลายครั้ง ก็ยังตื่นเต้นเวลาทำ Listening ทุกครั้งนะคะ ขอบอก) พอเราตั้งสมาธิได้ ไม่วอกแวกก็จะทำข้อสอบในส่วนนี้ได้ดีค่ะ
- การอ่านค้นหาคีย์เวิร์ดก่อนหน้าที่บทสนทนาจะเริ่ม อาจารย์ Scott เรียกเทคนิค นี้ว่า Read Ahead โดยกวาดสายตาอ่านโจทย์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้ดินสอทำ เครื่องหมายคีย์เวิร์ดเอาไว้ ขณะอ่านก็ต้องคาดคะเนไปด้วยว่า บทสนทนาที่จะได้ยินเกี่ยวกับอะไร คีย์เวิร์ดที่ทำเครื่องหมายไว้มีความหมายตรง กับ Synonym คำใดบ้าง นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เวลา 30 วินาทีที่ให้ทบทวนคำ ตอบ ในการอ่านโจทย์ช่วงถัดไปไว้ล่วงหน้า เป็นการเพิ่มเวลาในการค้นหาคีย์ เวิร์ด เมื่อฟังบทสนทนาจริงก็จะสามารถ “จับ” ใจความได้แม่นยำขึ้น
- เทคนิค การหาคีย์เวิร์ดนี้ ให้ขีดเส้นใต้คำที่เราคิดว่า เป็น Key word สำคัญเอาไว้ จะช่วยได้มาก เพราะทำให้เราจับใจความได้ทัน ว่า บทสนทนากำลังจะกล่าวถึงข้อมูลที่เราต้องเติมหรือยัง นอกจากนั้น ให้จับ คำพูดที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล เพราะบางครั้งบทสนทนาจะมีการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลได้ เช่น พูดแล้วเปลี่ยนใจ เอาอันนี้ ไม่เอาอันนั้น

2. เขียนคำตอบผิด/สะกดคำผิด ซึ่งทำให้เสียคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย
วิธีแก้สรุปได้ดังนี้
- จดคำตอบที่คิดว่าจะถูกต้องไว้ทันทีที่ได้ยิน
- หัดจดคำตอบเป็นตัวย่อ เพราะเวลาฟังจริง ๆ จะได้ไม่กระเจิดกระเจิงเพราะมัวแต่คิดเขียนคำตอบเต็มคำ
- เวลา เขียนผิด ให้ขีดฆ่าไปเลย การมานั่งลบทำให้เสียสมาธิในการฟัง มีช่วง ให้ transfer คำตอบอยู่แล้ว ถ้าฟังไม่ทันให้ข้ามไปเลย อย่าตื่นเต้น เราต้อง ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ค่ะ
- การเติม S
- เติม ED เสียงจะออกเป็น /d/ หรือ /t/
- ชื่อเฉพาะ เช่นชื่อถนน ชื่อคน ให้เขียนนำหน้าด้วยตัวใหญ่เสมอ
- ใส่สัญลักษณ์หน่วยของเงินหน้าจำนวนตัวเลข เช่น $ 25 แต่ถ้าเขียนเป็นตัวหนังสือให้เขียนเป็นตัวหนังสือหมด เช่น twenty five dollars
- ช่วงเวลาให้เขียน เป็น ช่วงเวลา to ช่วงเวลา
- วันนัดหมายให้ใส่ st / nd / rd / th บอกลำดับที่ด้วย
- เติมคำ ดูบริบทว่าต้องเป็นพหูพจน์หรือไม่
- คำที่ควรจำไว้ Chocolates Deadlines Electrics Studies
Reading

ขอรวบรวมเทคนิคไว้ตรงนี้เลยนะคะ

- ปัญหา ของการทำ Reading คือ การบริหารเวลา เนื่องจากโจทย์จะยากขึ้น เรื่อย ๆ อาจารย์ Scott จึงแนะนำให้แบ่งเวลาเป็น 15, 20 และ 25 นาที ตาม ลำดับ โดยให้เวลามากที่สุดกับPassageสุดท้าย

- เทคนิคการค้นหาคีย์ เวิร์ดสำคัญมากค่ะ อ่านโจทย์แล้วใช้ดินสอทำเครื่องหมายคีย์เวิร์ดเอาไว้ จาก นั้นกลับมาอ่าน Passage โดยพยายามตั้งใจไม่กวาดสายตาอ่านกลับไปกลับมา เพราะ มันทำให้เรางงไม่รู้คำตอบอยู่ตรงไหน แถมเสียเวลาด้วย ขอเตือน ว่า การพยายามอ่านค้นหาคำตอบ โดยที่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องค้นหาคืออะไร นั้นเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
- หัดอ่านให้เร็วเข้าไว้ จับเวลาทุกครั้งที่หัดทำข้อสอบ
- อ่านรอบแรกให้อ่านเฉพาะประโยคแรก เพื่อจะได้เห็นภาพรวมว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร หา main idea
- จากนั้นอ่านคำถามก่อนอ่านเรื่องอีกครั้งอย่างละเอียด เพื่อดูว่าคำถามเน้นตรงไหน
- ขีดคำตอบที่พบ ขีดชื่อเฉพาะ ทำให้หาง่าย ประหยัดเวลาได้มาก
- ดูคำถามด้วยว่า ถามเป็น Yes No Not given หรือถาม True False Not given
- ถ้ามีข้อมูลมาให้แต่ผิด ให้ตอบเป็น False เท่านั้น
- ถ้าไม่มีข้อมูลตามคำถามเลย เราไม่ต้องไปสันนิษฐานหาคำตอบจากเนื้อหาที่เขาให้อ่าน ให้จำไว้ว่ามันคือ not given เท่านั้น
- อ่านตัวอย่างให้ดี ตัด paragraph หรือ ตัวเลือกที่เป็นตัวอย่างไปแล้ว ( กรณีที่ห้ามใช้ตัวเลือกซ้ำ )
- คำ ถามที่ถามเป็นconclusion ให้เลือกข้อที่มีคำ จำพวก such as , llikely, may, will often, can, sometimes, often, almost, mostly, usually, generally, rarely
- เลี่ยงคำจำพวก always , exactly เพราะเป็นการสรุปตายตัวเกินไป
- คำถามที่เป็น Opinion มักมีคำว่า thought, believed, understand , wished
- เวลาเขียนตอบ ดูด้วยว่า กำหนดให้เขียนได้ไม่เกินกี่คำ

คำตอบที่ถูก ( จับคู่ หัวข้อกับ paragraph )
มักเป็นคำตอบที่สรุปเนื้อหาจากparagraph โดยรวมมากกว่าที่จะใช้คำเหมือนกับใน paragraph เลย ดังนั้นคำตอบจึงมีสามลักษณะ
1. ใช้คำเดียวกันกับใน paragraph
2.ใช้คำที่คล้ายกัน เช่น taken simultaneously = take at the same time
3. ใช้คำไม่คล้ายกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เช่น damage to the body = harm to bodily organ

- เป็นคำตอบที่ตอบคำถามโดยตรง
- คำตอบสองข้อที่คล้ายกันมาก ๆ อาจผิดได้ทั้งคู่
- คำตอบที่ข้อมูลตรงกันข้าม ข้อหนึ่งมักถูก
- อย่าหลงกับคำตอบที่ถูกต้องจากเรื่องที่อ่าน เพราะมักเป็นคำตอบที่ตอบถึงภาพกว้างโดยรวม ไม่ได้เจาะตอบเป็น paragraph

เติมคำในช่องว่าง
- ถ้าคำแต่ละด้านของช่องว่าง เป็น คำนาม คำตอบจะเป็น adj
- เป็น verb คำตอบเป็น adv
- เป็น adj คำตอบเป็น นาม
- เวลาเติมคำ ต้องปรับ tense และคำให้เป็น noun หรือ adj

เทคนิคเพิ่มเติมจากคุณนิดหน่อย (เรียนรู้จากการสอบหลายครั้ง อิอิ)
การ ฝึกทำแบบฝึกหัด นิดหน่อยไม่ได้แค่ตรวจคำตอบแล้วนับจำนวนข้อว่าถูกกี่ข้อเท่า นั้น แต่ยังคิดต่อไปด้วยว่า ข้อที่ผิดทำไมถึงผิด แล้วคำตอบที่ถูกต้องไปซ่อน อยู่ตรงไหน หลังจากที่ทบทวนแบบนี้หลาย ๆ ครั้ง ก็เลยเจอว่า ตำแหน่งของคำตอบ เหล่านั้นถูกเรียงไว้ตามลำดับ เช่น คำถามข้อแรก ๆ มักเจอคำตอบอยู่ช่วงต้น ของ Passage คำถามกลุ่มต่อไป ก็มักเจอคำตอบอยู่ใน Paragraph ถัดมา ถ้าเป็น คำถามประเภทหา Headings นิดหน่อยก็จะหาคำตอบทีละ Paragraph แล้วเก็บคำถาม ประเภท Summary เอาไว้ตอบหลังจากที่อ่านครบทุก Paragraph แล้ว สอบครั้งล่า สุดนี้ ก็เลยโฟกัสอ่านเจาะเฉพาะส่วนที่คาดว่าจะมีคำตอบไปตามลำดับ ไม่อ่าน ย้อนไปมา ทำให้สอบครั้งนี้มีเวลาเหลือสำหรับทวนคำตอบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้า นั้น ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งไม่เคยได้ทวนคำตอบเลย ทำเสร็จทัน 5 นาทีสุดท้ายก็ บุญแล้ว
Writing
ไม่ใช่ส่วนทำคะแนนของนิดหน่อยค่ะ เป็นส่วนที่อัพคะแนนได้ยาก มาก ๆ จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ผลสอบคราวนี้หวัง พึ่ง Listening กับ Reading ซึ่งผลสอบที่ออกมาก็เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ
ขออนุญาติเอาคำแนะนำของคุณ mari มาแปะไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกันนะคะ

- task 2 สำคัญกว่า task 1 เวลาสอบให้เลือกทำ task 2 ก่อนค่ะ เพราะตอนทำ ก็เขียน task 1 ได้ไม่ดีนัก แต่คะแนนก็ออกมาเป็นที่พอใจ
- การ ฝึกเขียน ให้อ่านจากบทความต่าง ๆ จำรูปประโยคไว้ เพื่อใช้ ถ้าคิดว่าอ่าน หนังสือ grammar แล้วมึน ให้ลองสังเกตรูปประโยคจากบทความต่าง ๆ เลือกเรื่อง ที่เราชอบอ่าน จะได้ไม่เบื่อน่ะค่ะ
- หลักการเขียนคือ ต้องถูก grammar ศัพท์ที่ใช้ หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก ( รู้จักใช้ หลากคำ )
- ความ จริงหัดเขียนได้เอง ไม่ยากนะคะ dictionary เป็นคู่มือที่ดีที่สุด เพราะมี ตัวอย่างการใช้คำ และประโยค ที่สำคัญให้หัดดูว่าคำที่เราใช้มี synonym อะไร บ้าง ให้จำไว้ เพื่อเป็นหลากคำ จะทำให้เวลาเขียนลื่นไหลมากขึ้น
- หัดใช้ เครื่องหมายต่าง ๆ นอกเหนือจาก semi colon เพราะจะทำให้การเขียนของเราง่าย ต่อการอ่าน รวมทั้งการใช้ transitional signal ด้วย แนะนำ หนังสือ writng academic english ของ longman เขียน โดย Alice Oshima กับ Ann Hogue ราคาไม่แพงแถมสอนเรื่องการเขียนได้ละเอียด ค่ะ มีตัวอย่างด้วย เรื่องการใช้ Transitional signal ก็แบ่งไว้ ละเอียด เลือกใช้ได้เลยค่ะ
- ส่วนเวลาเขียน ควรแบ่งส่วนที่จะเขียนให้ดี ดังนี้

คำถามเป็น Argument ให้แสดงความเห็น
มี
1. Introduction
2. body paragraph มี สัก สองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนข้อดี และส่วนที่สองเป็นข้อไม่ดี โดยต้องเขียนเพื่อ ช่วยเน้นย้ำข้อดีที่เราได้บอกไว้ โดยทั้งสองส่วน แบ่ง เป็น Topic sentence กับ supporting sentence สัก 2 –3 ประโยค การที่เรา เขียนทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี มีข้อโต้แย้งในตัวเอง ทำให้เราเขียนได้ง่าย ขึ้น เพราะบางทีให้คิดแต่ข้อดีหรือข้อเสียด้านเดียว เนื้อหาการเขียนอาจไม่ มากพอค่ะ
3. ส่วนสุดท้ายเป็น conclusion สรุปและเน้นย้ำความคิดของ เรา อาจะมีการเปิดประเด็นให้ผู้อ่านนำไปคิดต่อ แต่ต้องเกี่ยวเนื่องกับสิ่ง ที่เรากล่าวไปแล้ว

คำถามเป็น Problem ( effect / cause ) / solution
มี
1. Introduction
2. body paragraph มี Cause 1 Cause 2 มี effect 1 2 3 หรือ Cause and Effect 1 / Cause and Effect
3. ส่วน สุดท้ายเป็น conclusion สรุปและเน้นย้ำความคิดของเรา อาจะมีการเปิดประเด็น ให้ผู้อ่านนำไปคิดต่อ แต่ต้องเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เรากล่าวไปแล้ว

คำถามแบบ compare and contrast
1. Introduction
2. body paragraph เป็นการเปรียบเทียบ มี topic sentence และ supporting
3. ส่วน สุดท้ายเป็น conclusion สรุปและเน้นย้ำความคิดของเรา อาจะมีการเปิดประเด็น ให้ผู้อ่านนำไปคิดต่อ แต่ต้องเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เรากล่าวไปแล้ว

ส่วน คำแนะนำของอาจารย์  คือ ทำความเข้าใจโจทย์ วางแผนการเขียน แล้วก็ลงมือ เขียน คำเตือนก็คือ อย่าลงมือเขียนจนกว่าจะวางแผนการเขียนครบ ทุก Paragraph แล้ว คำแนะนำนี้สำคัญมากนะคะ เพราะหากวางแผนไม่ดี ต้องการ แก้ไข ก็จะทำให้เสียเวลาลบ ยิ่งลบมากก็เสียเวลามาก และอย่าลืมเผื่อ เวลา 5 นาทีในการตรวจทานด้วย

Speaking

- ส่วนมาก เวลาไปสอบมัก ตื่นเต้นกันทำให้พูดกันได้ไม่ดีนะคะ แต่ให้ทำใจให้สบาย คิดไว้ว่า ไปคุยกับ เพื่อน เวลาพูดไม่ต้องคล่องมากน้ำไหลไฟดับขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่พูดได้ เรื่อย ๆ เขาถามอะไรเราก็มีคำตอบให้เขาได้
- ไม่ต้องกังวลเรื่อง accent เพราะต่างคนต่างสำเนียงอยู่แล้ว แต่ให้ออกเสียงคำแต่ละคำให้ถูกต้องเป็นสำคัญ
- พูด ตามปกติของเรา ถ้าพูดช้าไปเพราะต้องการให้ชัดถ้อยชัดคำ อาจกลายเป็นว่าเรา พูดไม่คล่องค่ะ การพูดคล่องคือ พูดได้ต่อเนื่องไม่ติดขัด แต่เราสามารถหยุด คิด หรือมีเอ่อ อืม ได้นะคะ ไม่ผิดกติกา
- ถ้าฟังคำถามไม่ทัน หรือเขาใช้ศัพท์ที่เราไม่คุ้น ถามเขาได้ค่ะ เขายินดีถามเราอีกครั้ง
- ถ้าได้เรื่องที่เราไม่มีประสบการณ์ควรออกปากไว้ก่อนว่า เป็นเรื่องที่ยาก เราไม่มีประสบการณ์มาก่อนนะ
- เวลาพูดพยายามเลือกใช้ศัพท์ให้หลากหลายเข้าไว้ ไม่ต้องหรูหรามาก แต่อย่าใช้คำเดิมซ้ำ ๆ กัน
- พยายาม พูดให้ยาว ๆ เข้าไว้ อธิบายอะไรให้มีส่วนขยาย อย่าพูด สั้น ๆ ห้วน ๆ แบบ I like it I enjoy it ควรให้เหตุผลต่าง ๆ เข้าไปด้วย แต่ ไม่จำเป็นว่าเราต้องพูดยาว ๆ ตลอดนะคะ เพราะบางช่วงก็เป็นแค่การถามทั่ว ไป บางช่วง ถึงเป็นการออกความคิดเห็น
- ช่วงที่เป็นคำถามมาให้เวลาเรา คิด ถ้าได้เรื่องไม่ถนัดก็นึกเรื่องไปตามใจชอบได้เลยค่ะ ขอให้มีเรื่องพูด เป็นพอ ตอนไปสอบ ได้เรื่องไม่ถนัดเลยค่ะ ได้เรื่องเพื่อนบ้านที่ดี เกิดมา ยังไม่เคยเจอเพื่อนบ้านดีเลยค่ะ ฮา ฮา ก็พยายามเล่า ๆ ไป ถึงคนที่เราคิดว่า ดีที่สุดในละแวกบ้านแล้ว ฮา จากนั้นเขาจะถามคำถามต่อเนื่องจากเรื่องที่เรา พูด ตรงช่วงนี้ พยายามออกความคิดเห็นของเรา ไม่มีคำว่าผิดถูก คิดอะไรตอบไป ตามใจนึกเลยค่ะ
- ส่วนเวลาฝึก ลองบรรยายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในใจไว้ นั่งรถ ผ่านอะไรก็ลองบรรยายในใจไว้ค่ะ ลองนึกถึงช่วงเวลา ประสบการณ์ดี ๆ ของเรา ไว้ เผื่อได้ใช้ค่ะ นอกจากนั้น เวลาดูหนัง หรือ ดูข่าวภาษาอังกฤษ ช่วง สนทนา News line ช่อง 11 เวลาเขาพูดหัวข้ออะไร ก็ลองเอ่อออห่อหมก ออกความ เห็นของเรากับเรื่องนั้น ๆ ไปด้วย อาจเหมือนคนบ้าไปนิด แต่ได้ผลค่ะ ไม่ อย่างนั้นเราลองพูดคนเดียว ลองนึกหัวข้อต่าง ๆ แล้วนึกคำตอบไว้ หัดพูดคน เดียวให้คล่องค่ะ

เทคนิคส่วนตัว

- ทำบทพูดแบบส่วนตั๊วส่วนตัวของเรา เกี่ยวกับเรื่องที่คาดว่าจะถูกถามในการสอบส่วน ที่ 1 เช่น การแนะนำตัว การเรียน การทำงาน บรรยายลักษณะเมืองที่อยู่ ผู้ คน การใช้ชีวิต การเดินทาง ท่องเที่ยว กีฬา งานอดิเรก ฯลฯพิมพ์แยกเป็นหัว ข้อเรียงตามลำดับตัวอักษรไว้เลยค่ะ รับรองสคริปต์ส่วนตัวของเรานี้ได้ใช้ ประโยชน์แน่ในส่วนของ Introduction พอพูดส่วนแรกได้ดี ก็จะมีกำลังใจค่ะ
- ส่วน ที่สอง เป็นการพูดให้ครอบคลุมหัวข้อที่กำหนดให้ โดย examiner จะเป็นผู้ เลือกการ์ดคำถาม การพูดส่วนนี้เตี๊ยมล่วงหน้าไม่ได้ก็จริง แต่เราสามารถวาง แผนได้โดยใช้เวลา 1 นาทีอย่างมีค่า อ่านโจทย์อย่างเร็ว แล้วเขียนหัวข้อที่ ต้องพูดลงในกระดาษโน้ต จากนั้นเขียนเรื่องที่จะพูดลงไปข้าง ๆ หัวข้อเหล่า นั้น ให้เขียนแค่คำสั้น ๆ เพื่อใช้เตือนความจำว่าเราจะพูดเรื่องอะไร 1 นาที ไวเหมือนติดปีก ตั้งสติแล้วพูดได้เลยค่ะ นิดหน่อยก็คล้ายคุณmari คือ ไม่ได้ มีประสบการณ์ในเรื่องที่ถูกถาม ก็เลยต้องใช้ไหวพริบแต่งเรื่องขึ้นมาสด ๆ ใน โจทย์ถามว่า เคยประสบเหตุการณ์ที่เกิดความล่าช้าไหม เหตุการณ์นั้นคือ อะไร เกิดขึ้นเมื่อไร และมีผลกระทบอย่างไร ก็เลยคิดไปถึงเรื่องการจราจรใน กรุงเทพ โดยเล่าว่ามาทำธุระเมื่อเดือนที่แล้ว โดยในวันที่กลับนั้นลืมไปว่า มีการเปลี่ยนไปใช้สนามบินแห่งใหม่ที่อยู่ไกลกว่าเดิม แต่ไม่ได้เผื่อเวลาเอา ไว้ สุดท้ายก็เลยไปขึ้นเครื่องไม่ทัน และต้องค้างอยู่ในกรุงเทพอีกหนึ่ง คืน (เล่าเป็นตุเป็นตะ จริง ๆ แล้วไม่ได้เข้ากรุงเทพช่วงนั้นซะหน่อย อิอิ)
- คำ ถามช่วงที่สาม จะเกี่ยวเนื่องกับโจทย์ในช่วงที่สองค่ะ ก็เลยโดนถามเรื่อง เวลา เท่าที่จำได้ก็คือ เวลามีความสำคัญอย่างไรกับชีวิตคนเมืองและคนใน ชนบท คนเรามี Time Perception เปลี่ยนไปไหมเมื่อมีอายุมากขึ้น เมื่อไรที่ คุณรู้สึกว่าเวลารอบ ๆ ตัวคุณเดินช้า
- เทคนิคที่ถ่วงเวลาเมื่อคิดไม่ ออก ไม่ควรเงียบไปนาน แต่อาจพูด ว่า Let me think about it…, I’m not so sure about that, One thing that comes to my mind is …..
- อาจารย์สอน เทคนิคการถ่วงเวลาไว้ 2 แบบค่ะ คือ Advantages/Disadvantages คือให้พูดถึง ข้อดีและข้อเสียของประเด็นที่เราจะตอบ แบบที่สองคือ Past/Present /Future คือ พูดอธิบายเหตุการณ์ตามช่วงเวลา ใช้เทคนี้เหล่านี้รับรองพูดได้ ครบ 2 นาทีค่ะ
- ไม่ควรตอบแค่ว่า ชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ แต่ควรมีเหตุผลประกอบ เช่น
Q: คุณคิดว่ากีฬาชนิดไหนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทย
A: เราตอบว่า คงเป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นกีฬาประเภทไหน เท่าที่เห็นคนไทยเล่นกีฬ่าหลายประเภททั้ง indoor & outdoor แต่ก็คงมีกีฬ่าชนิดหนึ่งซึ่งคนชื่นชอบ กันมาก คือ ฟุตบอลเวิร์ลคัพ ซึ่งบางคนถึงกับอดนอนทั้งคืนเพื่อให้ได้ดูเกมส์ นี้
Q: คุณชอบกีฬ่าประเภทไหนมากที่สุด
A: ไม่ชอบกีฬ่าเลยค่ะ ต้องขอ สารภาพว่าตัวเองไม่ใช่ sport person แต่ก็เล่นกีฬ่าบางอย่างที่มีความสำคัญ ในภาวะฉุกเฉิน ได้แก่ การว่ายน้ำ
- อัดเทปเสียงพูดของตัวเองเอาไว้ และลองฟังทบทวนว่าเรามักพูดผิดตรงไหน การออกเสียงตัว R, L คำที่ต้องเติม S ฯลฯ
นิดหน่อยคิดว่าตัวเองได้เขียนถึงวิธีฝึก IELTS ครบถ้วนแล้ว แต่หากมีข้อ บกพร่องประการใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ ทั้งหมดที่ได้เขียนไปประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น

สุดท้ายนี้ ยังอยากย้ำประโยคเดิม Practice makes perfect!!
ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ

นิดหน่อย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 29, 2009, 11:13:59 AM โดย Jack the Ripper » บันทึกการเข้า
สายกนก
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3


« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2009, 10:35:42 AM »

ขอบคุณ คุณนิดหน่อยนะคะ เยี่ยมมากเลยค่ะ
ขอเอาเทคนิกของคุณนิดหน่อยมาแชร์อีกนะคะ แล้วจะมาติดตามตอนต่อไปค่ะ

 ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
มิว
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 22, 2009, 11:35:53 PM »

ชอบเทคนิคนี้มากเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่แชร์ให้คนอื่นๆเป็นวิทยาทานค่ะ
บันทึกการเข้า
babelle
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 08:49:13 AM »

ขอบคุณมากค่ะ บังเอิญได้อ่านกระทู้ของคุณนิดหน่อย ตอนเจอหัวข้อspeakingถึงกะอึ้งไปเลยค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่คุณนิดหน่อยเคยpostไว้พอดี เลยขอยืมมาเพิ่มเรื่องพูดเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ
บันทึกการเข้า
kk810662
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:45:28 PM »

ขอบคุณมากค่ะ บังเอิญได้อ่านกระทู้ของคุณนิดหน่อย ตอนเจอหัวข้อspeakingถึงกะอึ้งไปเลยค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่คุณนิดหน่อยเคยpostไว้พอดี เลยขอยืมมาเพิ่มเรื่องพูดเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ    ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2011, 09:54:36 PM โดย นายไอเอล » บันทึกการเข้า
rung-a-nin
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2011, 08:22:22 PM »

ขอบคุณมากค่ะ บังเอิญได้อ่านกระทู้ของคุณนิดหน่อย ตอนเจอหัวข้อspeakingถึงกะอึ้งไปเลยค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่คุณนิดหน่อยเคยpostไว้พอดี เลยขอยืมมาเพิ่มเรื่องพูดเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ    ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา





ขอบคุณมากค่ะ....กำลังต้องการอยู่พอดีเลย ยิ้มกว้างๆ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2011, 09:54:58 PM โดย นายไอเอล » บันทึกการเข้า
seosumo
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 12:29:36 AM »

ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

รับทำวิทยานิพนธ์ นักวิจัยมืออาชีพ ชัวร์
nutkungmancity
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2011, 04:54:56 PM »

ขอบคุณครับ ผมขอแชร์เทคนิคของพี่ด้วยนะครับ  เพราะเพื่อนๆๆของผมก็สนใจสอบเหมือนกันครับ ยิ้ม   
บันทึกการเข้า
komkrit
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 04:37:21 PM »

ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเทคนิคดีๆ
บันทึกการเข้า
sawassdeekaa
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2012, 12:12:25 PM »

 ตกใจ ตกใจ
บันทึกการเข้า

Koi
BAND 5.0
**

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


« ตอบ #10 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2012, 10:11:19 AM »

ขอบคุณมากค่ะกับเทคนิคดีดีสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปเรียนติว และอยากทราบว่าตอนนี้คุณนิดหน่อยได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วช่ายป่าวค่ะ แล้วประเทศที่เลือกไปคือประเทศอะไร อยากให้มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังต่อหน่ะค่ะ ขอบคุณมากๆเรยค่ะ ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
daruneeprommeng
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #11 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2012, 01:48:17 PM »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
pincute
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 02, 2014, 06:14:45 PM »

ขอบคุณมากๆๆๆ เลยค่า
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: