ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ค้นหา

 
การค้นหาขั้นสูง

866 กระทู้ ใน 377 หัวข้อ- โดย 1020 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: ohm555
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนโทกฎหมายที่ไหนดี ระหว่าง USA vs UK vs Australia  (อ่าน 27015 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อานนท์
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: มิถุนายน 09, 2009, 10:48:59 PM »

ผมไปเจอข้อมูลน่าสนใจจากเว็บนี้ครับ http://oledelouvre.spaces.live.com เลยขออนุญาตนำมาโพสต์ให้ทุกๆท่านได้ศึกษากัน

เรียนโท กฎหมายที่ไหนดีระหว่าง USA v UK v Australia

คำถามนี้เป็นอีกคำถามนึงที่ตอบยากมากๆ เพราะไม่มีคำตอบไหนที่ถูกต้องที่สุด และไม่มีคำตอบที่ผิด มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าต้องการอะไร ผมคงแนะนำไม่ได้ว่าให้ไปไหนดี เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าคุณต้องการไปไหน และคุณมีปัจจัยสอดคล้องกับที่ไหน และที่ไหนให้ในสิ่งที่คุณต้องการได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะบอกไม่ได้ว่าที่ไหนดีที่สุด แต่ผมจะพูดถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนที่ อเมริกา อังกฤษ และ ออสเตรเลีย เพื่อคนที่ได้อ่านบทความนี้ จะได้นำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจนะครับ

 

การเรียนที่สามประเทศนี้ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่แตกต่างกัน และก็มีหลายๆอย่างที่เหมือนกัน ผมขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้ละกันครับ

1. ระบบการเรียน ในอังกฤษและออสเตรเลีย จะมีระบบการเรียนที่คล้ายคลึงกัน เพราะโดยความสัมพันธ์แล้ว อังกฤษค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับออสเตรเลีย   แต่ทั้งสองประเทศออกจะต่างจากระบบการเรียนในอเมริกาพอสมควร กล่าวคือ ในระบบการเรียนของอังกฤษจะเน้นการเรียนและการทำ research ซึ่งที่อังกฤษเรียกว่า dissertation ซึ่งหลายมหาลัยในอังกฤษ ให้ทำ dissertation อย่างเดียวก็จบ ไม่ต้องสอบ แต่บางมหาลัยก็ยังมีระบบการสอบพร้อมๆกับการทำ dissertation ควบ คู่กันไปอยู่เช่นกัน การเรียนในอังกฤษส่วนมากจะเรียนได้ไม่เยอะ ตลอดทั้งปีอาจจะลงได้แค่สามถึงสี่วิชาเท่านั้น แต่เป็นการเรียนแบบลึกซึ้ง คือเรียนละเอียดมากๆๆ สำหรับในอเมริกา ระบบการสอนที่นั่นดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อสอนเด็กให้เป็นทนาย วิชาต่างๆ เน้นการเอาไปใช้ในทางปฏิบัติจริงๆ ซึ่งตลอดหลักสูตร เราสามารถเรียนได้ถึงเจ็ดแปดวิชาเลยทีเดียว การประเมินผลก็จะเป็นแบบเข้าสอบอย่างเดียว ไม่มีการทำ research หรือ dissertation ใน ส่วนของออสเตรเลีย ดูเหมือนจะเป็นลูกผสมระหว่างอังกฤษและอเมริกา คือ บางมหาลัยอาจจะให้เรียนเจ็ดถึงแปดวิชาแล้วก็สอบเหมือนทางฝั่งอเมริกาโดยไม่ มี research แต่บางมหาลัย หรือ อาจจะเป็นทางเลือกซึ่งมหาลัยกำหนดให้เราที่จะเลือกลงแบบแรก (สอบหมด ไม่มีทำ research)หรือแบบนี้ก็ได้ คือ เรียนสี่วิชาแล้วก็สอบแค่สี่วิชานั้น ที่เหลือก็ทำ research แบบทางฝั่งอังกฤษ

2. ระยะเวลาในการเรียน  ปริญญา โทที่อังกฤษและออสเตรเลีย หลักสูตรหนึ่งปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถที่จะจบเร็วกว่านั้นได้ เพราะหลักสูตรมันตายตัวเนื่องจากหลังจากการเรียนและสอบแล้ว เวลาที่เหลือเป็นเวลาทำ research อย่างไรก็ตาม หากคิดในแง่หนึ่ง เราอาจจะจบเร็วก็ได้ ถ้าเราทำ research เสร็จก่อน deadline แต่จะมีใครสักกี่คนขยันปานนั้น อ้อ เราสามารถต่อรองกับอาจารย์ขอกลับเมืองไทย ไปทำ research ที่นั่นก็ได้ ถ้าอาจารย์อนุญาต เราก็ส่ง research ทาง post หรือ ทาง email ก็ ได้ ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับอาจารย์ สำหรับทางฝั่งอเมริกานั้น ส่วนใหญ่ หลักสูตรจะสั้นกว่าหนึ่งปี คือสามารถจบได้ภายในเก้าเดือน เรียนเสร็จสอบเสร็จก็จบกลับบ้านได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะเวลาก็อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่มหาลัย

3. คุณสมบัติ  โดย ส่วนใหญ่แล้ว ทั้งที่ อเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย จะเรียกร้องคุณสมบัติประเภทเดียวกัน แต่อาจจะมากน้อยต่างกัน แล้วแต่ชื่อชั้นของมหาลัยนั้นๆ  สิ่งที่ต้องเตรียมตัวในการสมัครมหาวิทยาลัยทั้งสามประเทศหลักๆ  ก็คือ ผลการศึกษา, ใบรับรองจากอาจารย์, statement of purpose, ผลภาษา ซึ่งปัจจุบันมหาลัยในทั้งสามประเทศ ยอมรับทั้ง Toefl และ Ielts อย่างไรก็ตามแนะนำว่าหากไปอเมริกาควรใช้ Toefl ถ้าไปอังกฤษหรือออสเตรเลีย ควรใช้ Ielts เนื่อง จากจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า เพราะถ้าใช้สลับกัน จะเป็นผลเสียกับเรา เพราะเขาจะทียบคะแนนค่อนข้างลำเอียง เช่น เราสมัคร อังกฤษ แต่ใช้ ผล Toefl เขาจะเทียบ Ielts 7.0 เท่ากับ Toefl 620 เลย นะ ซึ่งความเห็นส่วนตัวแล้ว อย่างหลังได้ยากกว่าอย่างแรกมากเลยล่ะ คุณสมบัติหลักๆก็มีเท่านี้ อย่างไรก็ตามบางมหาลัยอาจจะเรียกอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น Bank statement, ใบรับรองแพทย์ ฯลฯ

4. ค่าใช้จ่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในการตัดสินใจว่าจะเลือกไป ประเทศไหนดี เพราะปัจจัยเรื่องเงินค่อนข้างสำคัญมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในที่นี้ก็จะประกอบไปด้วย ค่าเทอม และ ค่าครองชีพ  พูด อย่างกว้างๆ ค่าเทอมในอเมริกาจะแพงที่สุด รองลงมาก็อังกฤษ และออสเตรเลีย แต่สำหรับค่าใช้จ่าย อังกฤษจะแพงที่สุด รองลงมาก็อเมริกาและออสเตรเลีย ซึ่งเราคงต้องคิดจากระยะเวลาการเรียนด้วย ว่าอเมริกาใช้ระยะเวลาเรียนสั้นกว่า ดังนั้นค่าใช้จ่ายก็อาจจะลดลงกว่าอังกฤษและออสเตรเลียที่ต้องจ่ายทั้งปี  ในที่นี้ผมก็ได้หาข้อมูลเป็นตัวเลขคร่าวๆ สำหรับค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในแต่ละประเทศโดยเปลี่ยนค่าเงินเป็นเงินบาท ดังนี้  อเมริกา ค่าเทอม: 900,000-1,500,000 บาท, ค่าใช้จ่ายตกประมาณ 500,000-1,000,000 บาทต่อปี, อังกฤษ ค่าเทอม 600,000-800,000 บาท, ค่าใช้จ่ายตกประมาณ 700,000-1,200,000 บาทต่อปี, ออสเตรเลีย ค่าเทอม 450,000-650,000 บาท และค่าใช้จ่ายตกประมาณ 250,000-450,000 บาท ต่อปี ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงตัวเลขโดยประมาณ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า ค่าใช้จ่ายยังสามารถลดจากนี้ได้อีก อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับนิสัยการใช้จ่ายของแต่ละคนด้วยครับ ตัวเลขนี้แค่คำนวณโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานคนทั่วไปที่เรียนอย่างเดียว ใช้เงินตามปกติไม่ประหยัดและไม่สุรุ่ยสุร่าย ดังนั้นหากประหยัดหรือทำงานพิเศษเพิ่มเติมก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงอีกได้ และหากสุรุ่ยสุร่ายก็สามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายได้มากกว่านี้อีกเยอะเลยครับ

5. ระยะเวลารับสมัครและวันเวลาเปิดเรียน  ข้อ นี้ก็เป็นข้อสำคัญในการตัดสินใจของแต่ละคนด้วยครับ ผมเคยคิดจะไปอเมริกาแต่เตรียมตัวไม่ทันวันปิดรับใบสมัครของมหาวิทยาลัยใน อเมริกา ก็เลยเปลี่ยนใจไปอังกฤษ ซึ่งมีระยะเวลาในการรับสมัครกว้างกว่าทางฝั่งมหาลัยในอเมริกา  สำหรับเวลาในการเปิดรับใบสมัครในอเมริกาส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเดือนมกรา ถึงมีนาคม ครับ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาลัยด้วย บางมหาลัยเช่น Harvard หรือ Yale ปิดรับใบสมัครตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้ว และบางมหาลัยที่ rank ต่ำๆหน่อย เราก็อาจจะสมัครได้ถึงกลางปี หรือจนกว่าเปิดเทอมเลยครับ  ในส่วนวันเปิดเทอม ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประมาณเดือนสิงหา-กันยายน ครับ  สำหรับ ประเทศอังกฤษ โดยส่วนใหญ่แล้วไม่มีวันปิดรับสมัครที่แน่นอนครับ เราสามารถส่งใบสมัครได้เรื่อยๆ แต่ถ้าที่นั่งในมหาลัยเต็มแล้ว เขาก็จะไม่รับแล้วเช่นกัน ดังนั้นโดยปกติจึงควรส่งภายในเดือน มีนาคม-พฤษภาคม อย่างไรก็ตามบางมหาลัยเช่น Oxbridge ก็มีวันปิดรับสมัครที่เร็วกว่าที่อื่น ซึ่งหากผมจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่เดือน ธันวา-มกราคม นะครับ ในส่วนวันเปิดเทอม ก็จะอยู่ในเดือน กันยา-ตุลาคม ครับ   ในส่วนของมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย  ก็ เหมือนทางฝั่งอังกฤษครับ ไม่มีวันปิดรับสมัครที่แน่นอน แต่ถ้าเต็มเขาก็ปิดรับครับ โดยวันเปิดเทอม จะแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ กับชว่งเดือนกรกฎาคม เพราะงั้นจึงน่าจะส่งใบสมัครได้ทั้งปี แต่จะเริ่มเรียนตอนช่วงไหนคงต้องดูว่าส่งใบสมัครไปในช่วงไหนด้วยครับ

6. ทัศนคติภายหลังจบการศึกษา ข้อนี้ก็มักจะถูกถามมากเหมือนกัน ว่าจบจากที่ไหนได้รับการยอมรับมากกว่า อันนี้ก็คงบอกไม่ได้นะครับ เพราะคงเทียบกันลำบาก เนื่องจากแต่ละประเทศก็มีทั้งยูที่ดีมีชื่อเสียงและยูที่ธรรมดา หรืออาจจะเป็นยูห้องแถว ดังนั้น คงบอกไม่ได้หรอกว่าจบจากเมกาดีกว่าออส หรือจบจากอังกฤษดีกว่าเมกาหรืออส เพราะถึงจบอเมริกาแต่จบยูห้องแถว คงไปเทียบกับมหาลัยแนวหน้าของออสเตรเลียไม่ได้หรอกครับ โดยส่วนใหญ่คนมักจะพูดกันว่าจบอังกฤษกับอเมริกาเท่กว่า อันนี้ผมได้ยินคนอื่นพูดมานะ แต่ผมคิดว่าความเท่ของเขาคงวัดโดยเงินที่ใช้ไปในการเรียนมากกว่า จริงอยู่ว่าเรียนที่ออสเตรเลียอาจจะใช้เงินน้อยกว่าเรียนที่เมกากับอังกฤษ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณภาพการศึกษาเขาจะแย่กว่าสักหน่อย ดังนั้นประเด็นนี้ผมเถียงหัวชนฝาเลย และก็ไม่อยากให้เกิดความคิดที่แบ่งแยกเช่นนั้น อย่างไรก็ตามผมคงห้ามไม่ได้ เพราะขนาดมหาลัยในประเทศเดียวกันยังแบ่งแยกกันเองเลย ไม่ต้องอื่นไกลใน ไทยแลนด์บ้านเราเนี่ยแหละ ยังมีคนพูดกันเสมอว่ามหาลัยนี้ดีกว่ามหาลัยนี้ ซึ่งผมเห็นว่าไร้สาระ และไม่ควรนำเอามาเป็นประเด็นถกเถียง เพราะมหาลัยใครใครก็รัก ถึงมหาลัยจะดีแค่ไหน ถ้าคนเรียนไม่มีคุณภาพก็เท่านั้น หรือถึงมหาลัยจะดีแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เรียนจะดีหรือจะเก่งไปหมด มันก็มีทั้งคนเก่งและคนไม่เก่งกระจายอยู่ทั่วทุกมหาลัยน่ะแหละ ดังนั้น ที่สำคัญคือตัวคนเรียนมากกว่าว่าจะพัฒนาไปได้มากแค่ไหน คนเรียนเองอยู่บ้าน ถ้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็ยังเก่งกว่าคนที่เรียนมหาลัยดีๆ(ตามที่เขาคิด)ได้ ด้วยซ้ำ และคนที่เรียนมหาลัยดีๆ(ตามที่เขาคิด) ก็ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จมากซะที่ไหน เฮ้อ พูดเรื่องนี้แล้วนอกเรื่องไปจนได้ กลับมาที่ทัศนคติใหม่ อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงทัศนคติของคนที่เรียนกฎหมายมาด้วยกัน ผมคิดว่าพอจะแบ่งออกมาได้อย่างกว้างๆดังนี้ (ไม่ได้แบ่งให้เกิดความแตกแยกนะ แค่แบ่งให้เห็นภาพ โดยอาศัยหลักเกณฑ์ทั่วไป)  มหาลัยท้อป 20 ในอเมริกา จะมาตรฐานพอๆ กับ มหาลัย top 10 ในอังกฤษ และมหาลัย top 5 ในออสเตรเลีย  ซึ่งข้อมูลตรงนี้ผมขอออกตัวก่อนว่าเป็นความเห็น แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่าเป็นความเห็นที่นักกฎหมายที่จบจากต่างประเทศส่วนใหญ่คิดตรงกัน

 

เฮ้อ เสร็จซะที ใช้เวลาเขียนนานกว่าทีคิดเยอะแฮะ ความจริงว่าจะทำตารางเปรียบเทียบให้ด้วย แต่เขียนมาถึงนี่ก็สามหน้าละ เอาไว้ก่อนดีกว่า  สุดท้ายนี้ ก็อยากจะบอกว่ามหาลัยไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงดีมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ได้วัดคุณค่าของคน สิ่งที่สามารถพิสูจน์คุณค่าของคนและคุณค่าของตัวคุณเองได้ ก็คือตัวคุณเองเท่านั้น จำไว้ว่าเพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชรวันยังค่ำ

Louvre

1 September 2007
บันทึกการเข้า
ygnahfeq
BAND 4.0
*

น้ำใจ: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 11:24:11 AM »

โอเคเลยครับจบมาจะได้ทำงานดีๆกับเค้าบ้าง อิอิ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: